ตัวเลขน้ำมัน 19.77% และ 20.18% ที่ชาวสวนปาล์มกระบี่หีบพิสูจน์เมื่อเร็วๆ นี้ เป็นตัวชี้วัดว่า ถ้าชาวสวนปาล์ม “เคร่งครัด”
ตัดปาล์มสุก จะได้น้ำมันมากขึ้น และได้ราคาสูงขึ้น
เพียงแต่ตัวเลขดังกล่าวมาจากปาล์มที่ “คัดคุณภาพเข้มงวด”
ต่างจากการซื้อขายจริง ที่ชาวสวนปาล์มยัง “หย่อนยาน” ตัดปาล์มดิบปะปนมาด้วย
โรงหีบจึงต้องซื้อปาล์มแบบคละเกรด ตัวเลขหีบน้ำมันโดยเฉลี่ยของโรงหีบจึงอยู่ที่
16-17% เท่านั้น
ขณะที่ในมุมของชาวสวนปาล์ม ก็ไร้แรงจูงใจที่จะ
“ตัดปาล์มสุก” เพราะทำไปโรงหีบก็ซื้อคละเหมือนเดิม ซึ่งเป็นความรู้สึกเท่าๆ
กับชาวสวนปาล์มที่ทำ “ปาล์มคุณภาพ” กำลังใจค่อยๆ หดหายลงไปทุกที
โดยเฉพาะในห้วงราคาปาล์มตกต่ำ
“ปาล์มดิบ” จึงกลายเป็น “ก้อนมะเร็ง” ในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันไทย
แนวคิดในการแก้ปัญหาของ ดร.เอนก
ลิ่มศรีวิไล ผู้เชี่ยวชาญเรื่องปาล์มน้ำมัน ที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง คือ
ภาครัฐต้องบังคับโรงหีบ ซื้อปาล์มคุณภาพน้ำมัน 20% ขึ้นไป และคืนส่วนแบ่งจากน้ำมันเมล็ดใน (Palm Kernel Oil) ให้ชาวสวนปาล์ม
“หัวใจ” ของแนวคิดนี้ จะบังคับโดยอัตโนมัติให้โรงหีบซื้อปาล์มคุณภาพ 20% ขึ้นไป ขณะที่ชาวสวนปาล์มจะพร้อมใจกันตัดปาล์มสุก
เพราะได้ราคาและส่วนแบ่งจากทะลายปาล์มเพิ่มขึ้น 2 ทาง
“ตอนนี้โรงงานมันมากต่างแย่งซื้อปาล์มกัน
ปาล์มสุกปาล์มดิบก็ได้ซื้อหมด ทุกโรงงานต้องมานั่งคุยกันว่าต่อไปนี้จะกอดคอกันตายหมู่แล้วนะ
ถ้ายังซื้อที่ 17% ขาดทุนแน่
ถ้ารัฐบังคับให้เอากำไรจากเม็ดในคืนให้เกษตรกร จะคืนแบบ 100% เหมือนมาเลย์ แต่ต้องซื้อปาล์มที่ 20% หรือซื้อ 18% ก็ได้ แต่ต้องคืนเมล็ดในเกษตรกรครึ่งหนึ่ง ระบบนี้ก็จะบังคับโดยอัตโนมัติให้โรงงานซื้อปาล์มสุก
เพราะถ้าซื้อต่ำกว่านี้ก็ขาดทุน อาจจะทำแบบเห็นใจกัน 10 ปีแรก
แบ่งกำไรเมล็ดใน 50 : 50 ก่อน หลังจากนั้นค่อยคืนเกษตรกรทั้งหมด แต่กำหนดอยู่ว่าซื้อที่ 20%”
“โรงงานโกรธผมมากที่บอกว่า ให้คืนเมล็ดในให้ชาวสวน เพราะตรงนี้เป็นจุดตายของเขาเลยนะ เม็ดในตอนนี้ผมว่ามีน้ำมันอยู่ 5% ถ้าปาล์ม 100 กก. จะมีน้ำมันเม็ดใน 5 กก. ถ้าเม็ดใน กก.ละ 25 บาท 5 กก.ก็เท่ากับ 125 บาท โรงงานซื้อทะลายปาล์มจากเกษตรกร กก.ละ 6 บาท ซื้อ
100 กก. จ่ายเกษตรกร 600 เขาได้เงินคืนแล้ว 125 บาท”
“เพราะฉะนั้นตรงนี้แหละที่เราต้องร่วมกันเรียกร้อง
ให้เกิด พ.ร.บ. ที่กำหนดให้โรงงานซื้อปาล์มสุก 20% และแบ่งกำไรจากเมล็ดในให้ชาวสวน
เพื่อเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันของไทย”
“ผมเคยคุยเรื่องคืนเมล็ดในกับเพื่อนที่เป็นเจ้าของโรงหีบ เขาบอกว่า ขายทะลายปาล์ม แล้วจะขอคืนเมล็ดใน มันก็เหมือนกับ ขายหมูแล้วจะมาทวงกระดูก ผมบอกว่าเวลาขายหมูสมมุติตัวละ 3,000 บาท มันจะมีเนื้อแดง มีเนื้อสัน มีเครื่องใน กี่กิโล แต่น้ำมันปาล์มโรงงานซื้อ 17% นี่มันได้รวมน้ำมันเมล็ดในด้วยไหม มันไม่มี แล้วทำไมไม่จ่ายให้ชาวสวน เขาโกรธผมจะตาย”
“ผมเคยคุยเรื่องคืนเมล็ดในกับเพื่อนที่เป็นเจ้าของโรงหีบ เขาบอกว่า ขายทะลายปาล์ม แล้วจะขอคืนเมล็ดใน มันก็เหมือนกับ ขายหมูแล้วจะมาทวงกระดูก ผมบอกว่าเวลาขายหมูสมมุติตัวละ 3,000 บาท มันจะมีเนื้อแดง มีเนื้อสัน มีเครื่องใน กี่กิโล แต่น้ำมันปาล์มโรงงานซื้อ 17% นี่มันได้รวมน้ำมันเมล็ดในด้วยไหม มันไม่มี แล้วทำไมไม่จ่ายให้ชาวสวน เขาโกรธผมจะตาย”
ดร.เอนก ได้เสนอแนวคิดและสูตรการรับซื้อปาล์มคุณภาพ
พร้อมเสนอให้คืนส่วนแบ่งเมล็ดในให้ชาวสวน ไว้ใน “เฟซบุ๊ก คนปลูกปาล์มน้ำมัน”
โดยเสนอให้ อคส.ประกาศซื้อปาล์มตามคุณภาพความสุกที่เกรด
น้ำมัน 20% หรือเกรดกลาง 19% ซึ่งชาวสวนจะได้รับราคาสูง และได้น้ำมันมากกว่าสูตรของ อคส. พร้อมกับเสนอให้คืนน้ำมันเมล็ดในครึ่งหนึ่งให้ชาวสวนเลย
ให้ถือว่าเป็นเงินของรัฐที่จะช่วยเหลือชาวสวนปาล์มในช่วงที่ราคาตกต่ำ
สูตรในการรับซื้อ คือ
(CPO 26.50 -1.50) x 20% + (ราคาเมล็ดใน 13x5%)
=4.75+0.65 บาท
= 5.60 บาท (ราคาซื้อทะลายปาล์ม)
หรือจะคิดที่ 19% (ตัดปาล์มเริ่มสุกดีและลูกร่วง
5-10 ผล)
(CPO 26.50 -1.50) x 19% + (ราคาเมล็ดใน 13x5%)
=4.70+0.65 บาท
= 5.35 บาท (ราคาซื้อทะลายปาล์ม)
หากซื้อที่ 18%
(CPO 26.50 -1.50) x 18% + (ราคาเมล็ดใน 13x5%)
=4.70+0.65 บาท
= 5.15 บาท (ราคาซื้อทะลายปาล์ม)
“ทั้งนี้เพราะโรงงานได้หักค่าการผลิตไปแล้ว
1.50 บาท / น้ำมันปาล์มดิบ 1กก.ไปแล้ว
อคส.ไม่จำเป็นต้องค้ากำไรกับชาวสวนปาล์มในเมื่อจะช่วยเหลือเกษตรกร โดยเปลี่ยนสูตรนำเอาน้ำมันเมล็ดในคิดไปในราคารับซื้อผลปาล์มเลย”
ข้อมูลจาก : ซื้อปาล์มสุก และคืนเมล็ดในให้ชาวสวนปาล์ม
แนวทางสร้างความเป็นธรรม ของ เอนก ลิ่มศรีวิไล www.yangpalm.com
Facebook
: คนปลูกปาล์มน้ำมัน
- Advertisement -
ไม่มีความคิดเห็น:
โพสต์ความคิดเห็น