ปาล์มน้ำมัน

[ปาล์มน้ำมัน][bsummary]

ยางพารา

[ยางพารา][bsummary]

เทคนิคจากสวน

[เทคนิคจากสวน][twocolumns]

NEWS

[News][bleft]

สวนยางหน้าแล้ง จัดการอย่างไร...?

ย่างเข้าสู่ช่วงฤดูแล้งต้นยางจะผลัดใบ เพื่อมีเวลาหยุดพักและสะสมอาหาร ซึ่งช่วงระยะการผลัดใบจะแตกต่างกันไปตามท้องถิ่นและสายพันธุ์

โดยทั่วไประยะผลัดใบตั้งแต่ใบเริ่มร่วงจนถึงใบแก่ใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ช่วงนี้เกษตรกรจึงไม่ควรกรีดยาง เพื่อให้ต้นยางเจริญเติบโตเป็นต้นยางที่สมบูรณ์และกรีดไปได้นานๆ

แต่สิ่งที่เกษตรกรควรระมัดระวังในช่วงนี้คือ “ไฟไหม้สวนยาง” เนื่องจากอากาศแห้งประกอบกับมีใบยางร่วงหล่นในสวนยาง เป็นเชื้อไฟได้อย่างดี จึงไม่ควรทิ้งก้นบุหรี่ ไม่ก่อกองไฟ เฉพาะอย่างยิ่งสวนยางที่อยู่ริมถนนใหญ่ มีรถวิ่งผ่านไปมา จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้ได้ง่าย เพียงก้นบุหรี่ที่ทิ้งจากรถหรือจากผู้คนที่เดินผ่าน

ขณะเดียวกันเกษตรกรยังต้องเอาใจใส่ดูแลต้นยางเพื่อให้รอดตายและเจริญเติบโตผ่านช่วงฤดูแล้งไปได้อย่างเป็นปกติ โดยเฉพาะในยางอ่อนหรือยางที่ปลูกใหม่ในภาคอีสานและภาคเหนือ ที่ต้องเผชิญกับสภาวะอากาศที่แห้งแล้งอย่างรุนแรง เนื่องจากระบบรากยังไม่สมบูรณ์และลึกพอที่จะดูดน้ำระดับลึกได้ อาจทำให้การเจริญเติบโตชะงักและแห้งตายได้ เกษตรกรจะมีวิธีปฏิบัติอย่างไร 
ช่วงผลัดใบช่วงนี้เกษตรกรควรหยุดกรีดเพื่อให้ต้นยางพักฟื้นและเจริญเติบโต
สถาบันวิจัยยาง การยางแห่งประเทศไทย แนะนำว่า ในช่วงฤดูแล้งต้นยางที่ปลูกใหม่จนกระทั่งอายุ 3 ปี เกษตรกรควรเอาใจใส่ดูแลด้วยการหาวัสดุคลุมโคนต้น ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติที่จำเป็นก่อนเข้าฤดูแล้ง ในขณะที่ดินยังมีความชุ่มชื้นอยู่

การคลุมโคนต้นยางจะช่วยเก็บรักษาความชื้นในดิน ช่วยให้เปอร์เซ็นต์รอดตายของต้นยางสูงขึ้น

สำหรับวัสดุที่ใช้ควรเป็นวัสดุที่เกษตรกรหาได้ง่ายและมีอยู่ในท้องถิ่น เช่น หญ้าคา ฟางข้าว ใบกล้วย หญ้าขน ต้นถั่วชนิดต่างๆ ซากพืชคุม ซากวัชพืช และซากพืชชนิดอื่นๆ แทบทุกชนิด ตามแต่ที่จะหาได้

ซากพืชเหล่านี้นอกจากช่วยรักษาความชื้นของดินแล้ว เมื่อถึงเวลาเน่าเปื่อยจะช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดิน ช่วยปรับปรุงโครงสร้างและความอุดมสมบูรณ์ให้กับดิน เป็นผลดีต่อการเจริญเติบโตของต้นยางต่อไป 
ก่อนเข้าช่วงแล้งใช้ปูนขาวหมักแช่ค้างคืนไว้ ทาโคนต้นยางเล็กส่วนที่เป็นสีน้ำตาลขึ้นมาจนถึงส่วนที่เป็นสีน้ำตาลปนเขียว เพื่อป้องกันความรุนแรงของแสงแดด
สำหรับช่วงเวลาเหมาะสมที่เกษตรกรควรคลุมโคนต้นยางนั้น แนะนำว่าควรคลุมก่อนเข้าสู่ฤดูแล้งประมาณ 1 เดือน เป็นช่วงที่ดินยังมีความชุ่มชื้นอยู่โดยใช้วัสดุคลุมดินบริเวณโคนต้นยางเป็นวงกลม ให้ห่างจากโคนต้น 1 ฝ่ามือ รัศมีคลุมพื้นที่ 1 เมตร หนาประมาณ 10 เซนติเมตร ระวังอย่างให้วัสดุคลุมชิดโคนต้นมากเกินไป เพราะจะมีการสะสมความร้อนในวัสดุคลุมทำให้ลำต้นยางเสียหาย เกิดอาการไหม้และแห้งเป็นรอยแผล และยังอาจเป็นแหล่งอาศัยของหนูและสัตว์ชนิดอื่นที่ทำลายต้นยางได้


ถ้าสามารถหาวัสดุคลุมได้ปริมาณมาก เกษตรกรควรนำมาคลุมตลอดแนวแถวยาง ห่างจากแนวโคนต้นออกไปข้างละ 1 เมตร วิธีนี้จะช่วยรักษาความชุ่มชื้นในดินได้ดีและยังช่วยป้องกันวัชพืชขึ้นในระหว่างแถวยางได้ดีอีกด้วย

นอกจากนี้ในยางอ่อนที่มีอายุ 1-2 ปีที่ปลูกในเขตแห้งแล้งมักเกิดอาการลำต้นไหม้จากแสงแดด โดยปรากฏรอยไหม้ เนื่องจากบริเวณนั้นได้รับแสงแดดเป็นเวลานานติดต่อกันจนเนื้อเยื่อเสียหาย ไม่สามารถเจริญเติบโตต่อไปได้

เพราะฉะนั้นก่อนเข้าช่วงแล้งแนะนำให้เกษตรกรใช้ปูนขาวหรือปูนที่ใช้ปรับสภาพดิน 1 ส่วนผสมน้ำ 2 ส่วน หมักแช่ค้างคืนไว้ แล้วนำมาทาโคนต้นส่วนที่เป็นสีน้ำตาลขึ้นมาจนถึงส่วนที่เป็นสีน้ำตาลปนเขียว เพื่อป้องกันความรุนแรงของแสงแดด
ป้องกันไฟไหม้ต้นยางในช่วงหน้าแล้ง
ขณะเดียวกัน ก่อนเข้าฤดูแล้งแนะนำให้เกษตรกรกำจัดวัชพืชบริเวณแถวยางและระหว่างแถวยางด้วย โดยทำแนวกันไฟด้วยการกำจัดวัชพืชรอบๆ สวนเป็นแนวกว้างไม่ต่ำกว่า 3 เมตร เก็บเศษวัชพืชออกให้หมด และไม่ควรใช้วิธีพ่นยาเพื่อกำจัดวัชพืช เพราะวัชพืชที่แห้งตายจะเป็นเชื้อไฟได้อย่างดี ระมัดระวังไม่ทิ้งก้นบุหรี่ หรือก่อกองไฟบริเวณสวนยาง หมั่นตรวจตราดูแลสวนยางอย่างสม่ำเสมอ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสวนยางที่อยู่ริมถนนใหญ่ กรณีที่ต้นยางถูกไฟไหม้เล็กน้อย ให้ใช้ปูนขาวละลายน้ำในอัตราส่วนเท่าๆ กัน ทิ้งค้างคืนไว้ แล้วนำมาทาลำต้นทันทีเพื่อป้องกันความร้อนจากแสงแดด โรคแมลงที่อาจเข้าทำลายได้

แต่หากต้นยางได้รับความเสียหายมากจนไม่อาจรักษาได้เกินกว่าร้อยละ 40 ของทั้งสวน แนะนำว่าควรโค่นทิ้งแล้วปลูกใหม่

ข้อมูล : สถาบันวิจัยยาง การยางแห่งประเทศไทย


- Advertisement - 



ไม่มีความคิดเห็น:

บทความที่ได้รับความนิยม