ปาล์มน้ำมัน

[ปาล์มน้ำมัน][bsummary]

ยางพารา

[ยางพารา][bsummary]

เทคนิคจากสวน

[เทคนิคจากสวน][twocolumns]

NEWS

[News][bleft]

โล๊ะสต็อกยาง 3.1 แสนตัน จุดแตกหัก ชาวสวนยาง VS กยท.

สต็อกยาง 3.1 แสนตัน ยังเป็นผีตายโหง ตามหลอกหลอนชาวสวนยางมาตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา

ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ แกนนำชาวสวนยาง เขย่าขวัญ คนในอาชีพนี้แล้วว่า ถ้าขายยางล็อตนี้ออกไป จะทำให้ราคายางในประเทศร่วงเหมือนนกถูกเด็ดปีก

ขณะที่หน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพใหญ่ อย่าง การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ให้ข่าวปลอบขวัญชาวสวนยางมาตลอดเช่นกันว่า จะขายยางล็อตนี้โดยยึดตามกลไกตลาด เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อราคายางในตลาดน้อยที่สุด ไม่ทำร้ายราคายางอย่างแน่นอน

แต่มาวันนี้ผ่านไป 3 เดือน ตั้งแต่เดือน ม.ค.-มี.ค. 2560 กยท.เปิดประมูลยางด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ถึง 4 ครั้ง และกำลังจะเปิดประมูลครั้งที่ 5 ซึ่งเป็นล็อตสุดท้าย 107,000 ตัน ทุกครั้งที่เปิดประมูลทำราคาลดลงอย่างต่อเนื่อง

ในช่วงต้นปีราคายางแผ่นรมควันกำลังไต่ทะยานใกล้แตะ 100 บาท/กก. ตกลงมาเหลือ 68.5 บาท/กก. ช่วงปลายเดือน มี.ค.
- Advertisement -


ทั้งๆ ที่ช่วงเวลานี้ปริมาณการผลิตยางลดลง จากพื้นที่สวนยางภาคใต้ถูกน้ำท่วม และเป็นช่วงปิดกรีดของเกษตรกร ถ้าเป็นไปตามกลไก  ราคายางน่าจะสูงขึ้น แต่ราคากลับตรงกันข้าม จึงเป็นการตอกย้ำว่า ราคายางที่ร่วงหายไปไม่ต่ำกว่า 20 บาท/กก. เป็นสารพิษตกค้างจากการระบายสต็อกยาง ของ กยท.

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเกิดคำถามต่อการวางแผนและการทำงานของ กยท. มากมาย

ล่าสุดเมื่อวันที่ 29 มี.ค. เกิดการรวมตัวของเครือข่ายชาวสวนยาง ที่เรียกตัวเองว่า กลุ่ม 9 องค์กรยางภาคใต้ กว่า 100 คน บริเวณ ตลาดกลางยางพาราจังหวัดนครศรีธรรมราช ต.จันดี อ.ฉวาง จ.นครศีธรรมราช นำโดยนายทศพล ขวัญรอด ประธานภาคีเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยางและปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย เรียกร้องหาความรับผิดชอบ พร้อมกับขับไล่ทีมผู้บริหาร กยท.

โดยฉายภาพให้เห็น การประมูลขายยางในสต็อก 3.1 แสนตัน ที่ส่อทุจริตและเอื้อพ่อค้า เพื่อทุบราคาและทำลายกลไกการตลาด เป็นผลให้ราคายางถูกบิดเบือน เพราะ กยท. นำยางมาประมูลต่ำกว่าราคาตลาดโดยไม่ฟังเสียงเกษตรกร ทำให้เกิดความเสียหายและกระทบกับเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน รวมถึงพ่อค้ารายย่อย 

พร้อมกับกล่าวหนักๆ ว่า  หน่วยงาน กยท.แทนที่จะได้เป็นที่พึ่งพาของชาวสวนยางกลับไปเข้าข้างพ่อค้า เกษตรกรคัดค้านไม่เคยฟังแต่พอพ่อค้าสั่งกลับทำตามทันที 

ก่อนจะแถลงการณ์เพื่อเรียกรัฐบาล 5 ข้อ ดังนี้
1.ให้ผู้ว่าการยางและบอร์ดบริหารทั้งคณะลาออกและหยุดทันที เพราะชาวสวนยางไม่ไว้วางใจ
2.หยุดการประมูลยางที่เหลือ โดยเอาไปใช้ในหน่วยงานโครงการของภาครัฐตามวัตถุประสงค์เดิม
3.เช็คสต๊อกยางที่เหลือโดยให้ตัวแทนเกษตรกรชาวสวนยางร่วมเป็นกรรมการตรวจสอบ
4.ตรวจสอบการไปดูงานต่างประเทศ ของคณะกรรมการบริหาร กยท.ซึ่งขัดกับคำสั่งนายกรัฐมนตรี
5.เร่งรัดโครงการการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐทั้ง 8 กระทรวงตามโครงการใช้ยางในประเทศหนึ่งแสนตัน

ถ้อยแถลงการณ์ของกลุ่ม องค์กรยางภาคใต้ ตั้งคำถาม ขอความรับผิดชอบ ตรวจสอบการทำงาน พร้อมขับไล่ผู้บริหาร กยท. ไปพร้อมกัน

แต่ในอีกมุมหนึ่ง ดร.ธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการ กยท. ได้ออกมาแถลงข่าวหลังจาก มีการเรียกร้องและตั้งคำถามต่อหน่วยงานนี้ว่า ปัจจุบัน กยท.ดำเนินการระบายยางไปแล้วกว่า 150,000 ตัน ที่ผ่านมาประมาณ 5 ปี รัฐบาลต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายสำหรับค่าเช่าโกดังปีละ 160 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่ารวม ประมาณเกือบ 1,000 ล้านบาท

นโยบายรัฐบาลจึงมอบให้ กยท. เร่งบริหารจัดการสต็อกยางให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม เพื่อให้ราคายางเป็นไปตามกลไกการตลาด

พร้อมกับชี้แจงถึงสาเหตุการเปิดประมูลในแต่ละครั้ง คำนึงถึงความเหมาะสมเป็นหลัก เช่น ช่วงมกราคม 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่ภาคใต้น้ำท่วม ทำให้ปริมาณผลผลิตยางลดลง

อีกช่วงคือ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน เป็นฤดูกาลสุดท้ายของการเก็บเกี่ยวผลผลิต  แนวโน้มผลผลิตออกสู่ตลาดลดลง จึงเป็นช่วงที่เหมาะสม ไม่กระทบกับเกษตรกร

“เมื่อเปรียบเทียบราคายางแผ่นดิบในช่วงเดือน ม.ค. – มี.ค. ของปี 2558 และ 2559 กับ ปี 2560 ซึ่งเป็นช่วงที่ กยท.มีการระบายยางในสต็อก  จะเห็นได้ชัดเจนว่า  ราคายางของปี 2560 มีราคาสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกัน เป็นการแสดงให้เห็นว่าแม้การระบายสต็อกยางจะมีผลต่อราคายางบ้าง แต่ก็ไม่ทำให้ราคายางตกต่ำไปกว่าอดีตที่ผ่านมาและราคายางยังคงรักษาระดับไม่ต่ำกว่า 60-70 บาท/กก”

ผู้ว่า กยท. กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวโน้มราคายางพาราเดือนมีนาคม - เมษายน 2560 มีผลจากปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจของจีนผู้ซื้อยางรายใหญ่ของโลกที่ขยายตัวในอัตราคงที่ และเป็นช่วง low season ของการนำเข้ายางของจีน  สอดรับกับเป็นช่วงฤดูกาลปิดกรีดของประเทศไทย ประกอบกับราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงและอัตราแลกเปลี่ยนที่คาดว่าจะแข็งค่าขึ้น ดังนั้น คาดว่าราคายางในเดือนหน้า จะมีแนวโน้มปรับตัวเล็กน้อย แต่ยังคงรักษาระดับราคายางไว้ที่ 60 - 70 บาท/กก. ซึ่งเป็นราคายางที่สูงกว่าต้นทุนการผลิตของเกษตรกร

ผู้ว่า กยท.ยืนยันชัดเจนว่า การระบายสต็อกยางของรัฐ ไม่มีผลต่อราคายางปัจจุบันมากนัก ในทางกลับกันราคากลับสูงกว่าในช่วงเดียวกันของสองปีที่ผ่านมา  และที่สำคัญยังเป็นราคาที่เกษตรกรมีกำไร 
ด้านนายอุทัย สอนหลักทรัพย์ เป็นหนึ่งในผู้เสนอให้ กยท.ชะลอการขายยางของ กยท. ออกไปก่อน เพราะทิศทางราคายางนับจากนี้อยู่ในช่วงขาขึ้น และอาจจะทะลุถึง 100 บาท/กก. แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ว่า

จากการที่ กยท.เปิดประมูลยางโดยแบ่งเป็นล็อตๆ แต่ละครั้งราคาร่วงไม่ต่ำกว่า 10 บาท/กก. และผลจากการเปิดประมูลถึง 5 ครั้ง ทำให้ราคาร่วงไปประมาณ 25 บาท/กก.

“เป็นประวัติศาสตร์เพราะไม่เคยปรากฏมาก่อน ในช่วงปิดกรีดยางราคายางตก ทั้งๆ ที่ปริมาณยางโลกขาดแคลน จึงทำให้สหกรณ์ เกษตรกร แม้แต่พ่อค้ารายย่อยขาดทุนกันระนาว”

นอกจากนั้นยังพบว่า หลังจาก กยท.ประกาศประมูล 4 ครั้ง และกำลังจะเปิดครั้งที่ 5 เจอปัญหาไม่มีผู้เสนอราคา เพราะราคากลางสูงเกินไป จึงต้องลดราคากลางลงมาเรื่อยๆ

นายอุทัยยังวิเคราะห์ว่าการประมูลรอบใหม่นี้ ราคากลางจะอยู่ประมาณ 64 บาท แต่จะไม่มีใครประมูลเพราะถ้าจะนำยางประมูลไปทำเป็น STR 20 จะไม่คุ้ม แต่ถ้าประมูลยางแผ่นเอาไปยางแผ่นรมควันก็เป็นยางเก็บมานาน ถ้าซื้อไปในราคา 64บาท ราคาจะใกล้เคียงกับราคาในตลาดปัจจุบัน อยู่ที่ 70 บาทเศษ กยท.จะต้องหั่นราคากลางลงเรื่อยๆ เพื่อให้เกิดการประมูลในที่สุด

จุดนี้นี่เองที่แกนนำเกษตรกรมองกันว่า การเปิดประมูลยางของ กยท.ในแต่ละครั้งจะทุบราคายางให้ต่ำลงเรื่อยๆ จนต้องเรียกร้อยให้หยุดขายยางล็อตที่เหลือ แล้วนำไปใช้ในประเทศตามที่รัฐบาลเคยให้นโยบายไว้ พร้อมๆ กับขับไล่ผู้บริหาร กยท. 



Advertising
advertivsing
สนใจลงโฆษณา โทร 08-6335-2703

ไม่มีความคิดเห็น:

บทความที่ได้รับความนิยม