การใส่ปุ๋ยให้ถูกต้องตามฤดูกาลและถูกวิธีจะช่วยให้ได้ผลผลิตปาล์มสูงขึ้นและยังลดความสูญเสียของปุ๋ยลงได้อย่างมาก มิฉะนั้นแล้วจะให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายโดยไม่ได้รับผลตอบแทน ซึ่งการสูญเสียธาตุอาหารที่ใส่ลงไปในดินมีหลายกระบวนการด้วย ดังนี้
👉ธาตุอาหารที่ใส่ลงไปในดินมีการสูญหายไปได้ ดังนี้
- การระเหยไปในอากาศในรูปของแก๊ส (valatilization) ในที่นี้จะหมายถึงเฉพาะธาตุไนโตรเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการใช้ปุ๋ยยูเรีย
- การสูญหายไปในรูปของแก๊ส (denitrification) ส่วนใหญ่จะเกิดกับธาตุไนโตรเจนเท่านั้น
- การสูญหายโดยการถูกชะล้าง (leaching) ส่วนใหญ่จะเกิดกับธาตุไนโตรเจน แต่ก็เกิดขึ้นได้กับธาตุโปแตสเซียมและแมกนีเซียม
- การสูญหายจากการพัดพาไปจากหน้าดิน (surface run-off) เกิดขึ้นได้กับธาตุอาหารทุกชนิดที่ใส่ลงไปบนผิวหน้าดิน
👉รายละเอียดของการสูญหายของธาตุอาหารมีดังนี้
- การระเหยไปในอากาศ (valatilization) พบว่าการสูญเสียธาตุไนโตรเจนจากการใช้ปุ๋ยยูเรียมีมากถึง 60 เปอร์เซ็นต์ ภายในระยะเวลา 4 วันหลังจากการใส่ ฉะนั้นข้อควรระวังในการใส่ปุ๋ยยูเรียก็คือ จะต้องแน่ใจว่าเมื่อใส่แล้วจะต้องมีฝนตกภายใน 12 วัน หลังการใส่จะต้องหว่านลงไปบนหน้าดินและสับคลุกเคล้าให้ลงไปอยู่ในดิน เช่น โรยในร่องแล้วกลบ
- การสูญหายไปในรูปของแก๊ส (denitrification) การสูญเสียไนโตรเจน จากรูปของ NO3 จะเกิดขึ้นเฉพาะเมื่อดินมีการระบายน้ำเลว น้ำท่วมขังหรือดินขาดออกซิเจน ฉะนั้นจะต้องแน่ใจว่าพื้นที่ปลูกปาล์มจะต้องไม่มีน้ำขังหรือถ้ามีน้ำขังจะต้องทำการระเหยออกโดยเร็วที่สุด
- การสูญหายไปโดยถูกชะล้าง (leaching losses) ส่วนใหญ่จะเกิดกับธาตุอาหารพวกไนโตรเจน โปแตสเซียม แมกนีเซียม และซัลเฟอร์ ไม่ค่อยพบว่าฟอสเฟตสูญหายไปจากดินโดยการชะล้าง เพื่อป้องกันการสูญเสียธาตุอาหารโดยกรรมวิธีนี้จะต้องหว่านใส่ปุ๋ยรอบบริเวณที่ใกล้รากเพื่อให้รากดูดปุ๋ยไปใช้อย่างรวดเร็ว
👉 วิธีการใส่ปุ๋ย
- 1. อย่าใส่ปุ๋ยรอบบริเวณฐานของลำต้นหรือใกล้ฐานลำต้นมากเกินไป
- 2. อย่าใช้ปุ๋ยในอัตราสูงมากใกล้บริเวณรากมากเกินไป จะทำอันตรายราก พยายามหว่านบาง ๆ รอบรัศมีทรงพุ่ม
- 3. ในปาล์มที่มีอายุมากการใส่ปุ๋ยไนโตรเจน ควรใส่รอบรัศมีทรงพุ่ม แต่สำหรับปุ๋ยฟอสฟอรัส โปแตสเซียม และแมกนีเซียม ควรจะใส่ระหว่างแถวปลูกภายใต้รัศมีทรงพุ่ม แต่ต้องมีการกำจัดวัชพืชให้ดีเพราะจะทำให้วัชพืชแย่งปุ๋ยจากปาล์มโดยเฉพาะอย่างยิ่งให้ไนโตรเจน
👉ปัจจัยที่มีผลต่อการใส่ปุ๋ยปาล์มน้ำมัน
- 1.ดิน ฟ้า อากาศ ซึ่งได้แก่ การกระจายตัวของฝน แสงอาทิตย์ (Solar radiation) และอุณหภูมิ
- 2.พันธุ์ปาล์มน้ำมัน ควรจะใช้พันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูง
- 3.การคัดเลือกพันธุ์ในแปลงกล้า วิธีการคัดเลือกต้นกล้าที่ดีและการคัดทิ้งกล้า (ประมาณ 25-30 เปอร์เซ็นต์) เป็นสิ่งสำคัญและมีความจำเป็นมากในการที่จะปลูกปาล์มให้มีศักยภาพในการให้ผลผลิตสูงและมีการตอบสนองต่อปุ๋ย
- 4.การดูแลรักษาและการตัดแต่งทางใบที่ดี การตัดแต่งทางใบมากเกินไปมีผลทำให้ผลผลิตปาล์มลดลง ซึ่งการตัดแต่งมากเกินไปเป็นความผิดพลาดที่พบอยู่เสมอในสวนปาล์ม
- 5.การควบคุมศัตรู การใส่ปุ๋ยให้กับปาล์มจะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ถ้ามิได้มีการควบคุมกำจัดศัตรูพืช เช่น พวกหนอน และหนูที่ทำลายปาล์ม
- 6.การควบคุมวัชพืช การกำจัดวัชพืชมากเกินไป (Over weeding) หรือการใช้สารฮอร์โมนมากเกินไป (over of hormone) ในการควบคุมวัชพืชหรือการไม่จำกัดวัชพืชเลยก็มีผลต่อการสนองตอบต่อการใช้ปุ๋ยให้กับปาล์มเช่นเดียวกัน ดังนั้น เมื่อมีการใส่ปุ๋ยจะต้องมีการจัดการสวนปาล์มที่ถูกต้องตามขั้นตอน
ที่มา : เอกสารเทคโนโลยีการจัดการสวนปาล์มน้ำมัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น